วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2567

หลักความไม่เที่ยง เตาะแตะ เต่งตึง โตงเตง ต้องตาย

 


ผมจะอธิบายคำเหล่านี้เชื่อมโยงกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาตามช่วงชีวิตของมนุษย์ครับ

1. เตาะแตะ - วัยทารก/วัยเด็กเล็ก

- เปรียบเสมือนจิตใจที่ยังบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา เหมือนผ้าขาวที่ยังไม่ถูกย้อม

- เป็นช่วงที่ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนในหลักธรรมพื้นฐาน เช่น ศีล 5

- เป็นวัยแห่งการเริ่มสั่งสมบุญและบาป (กรรม) เปรียบเหมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งธรรม

- ผู้ใหญ่ต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร คอยชี้นำทางที่ถูกต้อง


2. เต่งตึง - วัยรุ่น/วัยหนุ่มสาว

- ช่วงวัยที่เต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา และความหลง

- เป็นวัยที่ต้องระมัดระวังเรื่องกามฉันทะ (ความพอใจในกาม)

- ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์และจิตใจด้วยหลักสติปัฏฐาน 4

- เป็นช่วงสำคัญในการฝึกฝนตนเองในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา


3. โตงเตง - วัยผู้ใหญ่/วัยกลางคน

- ช่วงชีวิตที่ต้องรู้จักทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)

- ต้องรู้จักสมดุลระหว่างการทำมาหาเลี้ยงชีพและการปฏิบัติธรรม

- เป็นวัยที่ต้องระวังเรื่องโลภะ โทสะ โมหะ

- ควรเริ่มพิจารณาเรื่องความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ของชีวิต


4. ต้องตาย - วัยชรา/บั้นปลายชีวิต

- เป็นช่วงที่ต้องเข้าใจและยอมรับความจริงของชีวิตตามหลักไตรลักษณ์

- ควรเจริญมรณานุสติ (การระลึกถึงความตาย) อยู่เสมอ

- เป็นโอกาสในการทำจิตให้บริสุทธิ์ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น

- เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการละสังขาร ด้วยจิตที่สงบและเป็นกุศล


การเข้าใจคำสอนเหล่านี้ในแต่ละช่วงชีวิตจะช่วยให้เรา:

- เข้าใจธรรมชาติของชีวิตตามความเป็นจริง

- รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ

- เตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัย

- ดำเนินชีวิตอย่างมีสติและไม่ประมาท

- สร้างกุศลกรรมและพัฒนาจิตใจอย่างต่อเนื่อง​​​​​​​​​​​​​​​​

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ขึ้นรถเมล์ผิดสาย

 


การขึ้นรถเมล์ผิดสายเปรียบได้กับชีวิตคู่ในหลายๆ แง่มุม

1. เลือกผิดตั้งแต่ต้นทาง: การขึ้นรถเมล์ผิดสายเกิดจากการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม หากเลือกคู่ชีวิตผิดตั้งแต่แรก อาจส่งผลให้ต้องเผชิญปัญหาหรือความไม่เข้ากันในระยะยาว

2. ไม่สามารถเปลี่ยนเส้นทางระหว่างทางได้ง่าย: เมื่อขึ้นรถเมล์ไปแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนเส้นทางไปสู่จุดหมายที่ตั้งใจไว้ได้โดยทันที ในชีวิตคู่ก็เช่นกัน หากตัดสินใจเข้าสู่ความสัมพันธ์แล้ว การเปลี่ยนแปลงหรือการตัดสินใจถอนตัวออกมาอาจทำได้ยากและต้องใช้เวลา

3. สูญเสียเวลาและโอกาส: การขึ้นรถเมล์ผิดสายทำให้เสียเวลาไปกับการเดินทางที่ไม่ใช่จุดหมายที่แท้จริง ในชีวิตคู่ หากอยู่กับคนที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เสียเวลาและโอกาสในการพบเจอคนที่ดีกว่าและเข้ากันได้ดีกว่า

4. การทบทวนและเริ่มใหม่: เมื่อรู้ว่าขึ้นรถเมล์ผิดสาย เราอาจต้องลงจากรถและเริ่มต้นใหม่กับรถสายที่ถูกต้อง ชีวิตคู่ก็เช่นกัน หากพบว่าความสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ อาจต้องกล้าเผชิญความจริงและทบทวนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เหมาะสมกว่า


เปรียบเทียบนี้ชี้ให้เห็นถึงการเรียนรู้จากความผิดพลาด การเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลง และการกล้าตัดสินใจเพื่อหาทางที่เหมาะสมในชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ประสิทธิภาพ Chat GPT3.5

 


ChatGPT 3.5 มีความสามารถที่ดีในหลายด้าน ทั้งการสร้างข้อความที่สมเหตุสมผล การสรุปเนื้อหา และการโต้ตอบกับคำถามที่หลากหลาย โดยมีคุณสมบัติหลัก ๆ ดังนี้:


1. ความสามารถในการประมวลผลภาษา: GPT-3.5 สามารถเข้าใจและตอบสนองต่อคำถามและคำขอได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความ สรุปข้อมูล แปลภาษา หรือการให้คำแนะนำในเชิงเทคนิค  .

2. ความแม่นยำ: แม้ว่า GPT-3.5 จะสามารถให้คำตอบที่แม่นยำได้ในหลายกรณี แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการตอบคำถามที่มีความซับซ้อนสูง โดยอาจไม่สามารถจับประเด็นได้ดีเท่ารุ่น GPT-4 ในบางสถานการณ์ เช่น การแก้ปัญหาเชิงตรรกะหรือคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน  .

3. ประสิทธิภาพ: GPT-3.5 มีความเร็วในการประมวลผลที่ดี และสามารถรองรับคำถามได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เหมาะกับการใช้งานในแอปพลิเคชันทั่วไป เช่น แชทบอท หรือระบบการถาม-ตอบอัตโนมัติ แต่ข้อจำกัดคือ GPT-3.5 ใช้หน้าต่างคอนเท็กซ์ที่เล็กกว่า (ประมาณ 4k โทเคน) ทำให้ไม่สามารถจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีเท่ารุ่นที่สูงกว่า .

4. การใช้งานจริง: ในการใช้งานจริง GPT-3.5 มักจะถูกใช้ในระบบแนะนำสินค้า การทำการตลาด การสื่อสารกับลูกค้า และการสร้างเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าและยังคงสามารถตอบสนองได้ดี  .


โดยรวมแล้ว GPT-3.5 เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในแง่ของประสิทธิภาพและค่าใช้จ่าย แม้ว่าอาจจะไม่ครอบคลุมเท่า GPT-4 ในเรื่องความสามารถในการทำความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น.

Chat GPT 4 และ 4o (4 omni) แตกต่างกันอย่างไร

 


ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานและการใช้ชีวิตของเราในหลายๆ ด้าน OpenAI เป็นหนึ่งในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโมเดลภาษาที่สามารถประมวลผลและสร้างภาษาธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ สองโมเดลที่มีชื่อเสียงคือ GPT-4 และ GPT-4o ซึ่งแม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ บทความนี้จะสำรวจความแตกต่างระหว่าง GPT-4 และ GPT-4o เพื่อช่วยให้เข้าใจถึงความสามารถและการใช้งานที่เหมาะสมของแต่ละโมเดล

ขนาดของโมเดล

  1. GPT-4: เป็นโมเดลที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน มีพารามิเตอร์จำนวนมาก ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลข้อมูลที่มีความซับซ้อนและเข้าใจบริบทได้อย่างละเอียด

  2. GPT-4o: ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อเทียบกับ GPT-4 โดยมีจำนวนพารามิเตอร์น้อยกว่า ทำให้มีความคล่องตัวในการประมวลผลมากขึ้นและใช้ทรัพยากรน้อยลง

การประมวลผลและความแม่นยำ

  1. GPT-4: ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่า GPT-4 สามารถจัดการกับข้อมูลที่มีความซับซ้อนได้ดี และสามารถตอบสนองต่อคำถามที่ต้องการการวิเคราะห์เชิงลึกได้อย่างแม่นยำ

  2. GPT-4o: แม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่ยังคงมีความสามารถในการประมวลผลและสร้างภาษาที่ดี แต่ความแม่นยำอาจน้อยกว่า GPT-4 เมื่อเจอกับข้อมูลที่ซับซ้อนมาก

การใช้งาน

  1. GPT-4: เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความแม่นยำสูงและการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น การวิจัยเชิงวิชาการ การวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ หรือการสร้างเนื้อหาที่มีความละเอียด

  2. GPT-4o: เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็วและประหยัดทรัพยากร เช่น การพัฒนาบอทสนทนา การสร้างเนื้อหาเบื้องต้น หรือการใช้งานในระบบที่มีข้อจำกัดทางทรัพยากร

การประมวลผลหลายภาษา

  1. GPT-4: มีความสามารถในการประมวลผลหลายภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง สามารถเข้าใจและสร้างข้อความในหลากหลายภาษาได้ดี

  2. GPT-4o: แม้ว่าจะสามารถประมวลผลหลายภาษาได้ แต่ประสิทธิภาพอาจจะไม่เทียบเท่ากับ GPT-4 ในบางภาษา

ความเร็วในการประมวลผล

  1. GPT-4: ด้วยความซับซ้อนของโมเดล ทำให้การประมวลผลอาจใช้เวลามากกว่า GPT-4o

  2. GPT-4o: ด้วยขนาดที่เล็กลงและการใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่า GPT-4o จึงมีความเร็วในการประมวลผลที่สูงกว่า

การใช้ทรัพยากร

  1. GPT-4: ใช้ทรัพยากรมากกว่าในด้านการประมวลผลและหน่วยความจำ ทำให้ต้องการฮาร์ดแวร์ที่มีความสามารถสูง

  2. GPT-4o: ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานในระบบที่มีข้อจำกัดทางทรัพยากร เช่น อุปกรณ์พกพาหรือระบบคลาวด์ที่ต้องการประหยัดทรัพยากร

สรุป

GPT-4 และ GPT-4o มีการออกแบบที่ตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกัน GPT-4 มุ่งเน้นไปที่ความแม่นยำและการประมวลผลที่ซับซ้อน ในขณะที่ GPT-4o มุ่งเน้นไปที่ความรวดเร็วและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้โมเดลที่เหมาะสมกับลักษณะงานและทรัพยากรที่มีอยู่ได้ตามความต้องการของตนเอง

หมายเหตุ: บทความนี้ เป็นเพียงการให้ข้อมูล ความแตกต่างระหว่าง GPT-4 และ GPT-4o เพียงเท่านั้น


ChatGPT มีแผนบริการรายเดือน


1. ChatGPT Free - ใช้งานฟรี แต่จำกัดความเร็วในการตอบสนองและการเข้าถึงฟีเจอร์

2. ChatGPT Plus - ราคา 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (ประมาณ 670 บาทในไทย) ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น สามารถใช้งาน GPT-4 ได้ในเวอร์ชันปกติ พร้อมกับการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น และไม่ต้องรอคิว   .

3. ChatGPT Enterprise - สำหรับองค์กร โดยมีฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การเข้าถึง GPT-4 Turbo และ GPT-4o ไม่จำกัด, หน้าต่างคอนเท็กซ์ขนาดใหญ่ (128k tokens), และการจัดการด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ราคาจะต้องติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมโดยตรงกับ OpenAI .

แผนแบบ Plus เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการเข้าถึงฟีเจอร์เพิ่มเติม ในขณะที่แผน Enterprise เหมาะสำหรับการใช้งานระดับองค์กรที่ต้องการการประมวลผลที่เร็วและมีประสิทธิภาพสูงกว่า.

แชร์แครอท

กรณี “แชร์แครอท” เป็นข่าวเกี่ยวกับกลุ่มพระภิกษุในภาคอีสาน ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยอ้างถึงการทำบุญหรือกิจกรรมทางศาสนาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินคดีแชร์แครอทนั้นยังไม่ชัดเจนเท่าคดีแชร์ลูกโซ่อื่น ๆ แต่มีรายงานว่ามีพระบางรูปถูกกล่าวหาว่าละเมิดพระธรรมวินัย โดยเฉพาะในเรื่องการระดมทุนและการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมกับสมณเพศ เช่น การใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย การเที่ยวเตร่ และการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในทางที่ไม่เหมาะสมกับศาสนิกชน


กรณีนี้ได้รับความสนใจจากสื่อสังคมอย่างมาก และมีการรายงานถึงพฤติกรรมของพระที่เกี่ยวข้องว่าอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ในสังคม    

แชร์ Forex3D “นายอภิรักษ์ โกฏธิ”

 

Forex-3D เป็นคดีแชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยบริษัท RMS Familia Co., Ltd. ก่อตั้งโดยนายอภิรักษ์ โกฎธิ ใช้ชื่อ Forex-3D ทำการตลาดโดยอ้างว่ามีความเชี่ยวชาญในการเทรดสกุลเงินต่างประเทศและเสนอบริการลงทุนผ่านเว็บไซต์ โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสูงถึง 10-15% ต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีการใช้กลยุทธ์เชิญชวนให้หาสมาชิกใหม่เข้าร่วมเพื่อรับค่าคอมมิชชั่น ซึ่งเป็นลักษณะของแชร์ลูกโซ่ที่ไม่ได้มีการเทรดจริง เงินที่ได้นำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและสร้างภาพความร่ำรวย ทำให้มีผู้เสียหายกว่า 9,800 คน มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 40,000 ล้านบาท


คดีนี้เกี่ยวข้องกับบุคคลในวงการบันเทิงหลายคน เช่น พิ้งกี้ สาวิกา ดีเจแมน และใบเตย ซึ่งถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ นายอภิรักษ์ถูกจับกุมในปี 2564 พร้อมอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มีการอายัดทรัพย์เพิ่มอีกในปี 2565 และกำลังมีการขยายผลสอบสวนเพื่อชดใช้ความเสียหาย     

นายอภิรักษ์ โกฎธิ ผู้ก่อตั้งแชร์ลูกโซ่ Forex-3D ถูกศาลสั่งจำคุกสูงสุด 20 ปี หลังพบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน การฟอกเงิน และการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยเขาได้หลอกลวงให้ผู้คนลงทุนในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ พร้อมสัญญาผลตอบแทนสูงถึง 10-15% ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม เงินที่ได้ส่วนใหญ่ถูกใช้สร้างภาพความร่ำรวยแทนที่จะนำไปลงทุนจริง ทำให้เกิดความเสียหายมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาทจากผู้เสียหายหลายพันคน    

แชร์ยูฟัน “ยูโทเคน”


คดี “แชร์ยูฟัน” เกิดขึ้นในปี 2558 โดยบริษัท “ยูฟันสโตร์” ซึ่งอ้างว่าทำธุรกิจขายตรง แต่จริง ๆ แล้วมีการสร้างเงินดิจิทัลที่เรียกว่า “ยูโทเคน” เพื่อหลอกลวงประชาชนเข้าร่วมลงทุนผ่านระบบแชร์ลูกโซ่ มีผู้เสียหายกว่า 120,000 ราย และมูลค่าความเสียหายสูงถึง 38,000 ล้านบาท การหลอกลวงเกิดจากการชักชวนให้คนร่วมลงทุนในสินค้าต่าง ๆ พร้อมสัญญาผลตอบแทนสูง แต่เงินที่ได้ถูกนำไปจ่ายให้สมาชิกเก่าตามลักษณะของแชร์ลูกโซ่


ศาลพิพากษาให้จำคุกผู้บริหารสูงสุดถึง 50 ปี (ตามกฎหมายจำกัดสูงสุด) และจำคุกสมาชิกเครือข่ายอื่น ๆ รวม 32 ราย โดยมีคำสั่งให้ชดใช้เงินคืนผู้เสียหายประมาณ 356 ล้านบาท ทั้งนี้ คดีถูกยกฟ้องบางราย แต่ศาลฎีกายืนยันบทลงโทษต่อจำเลยหลักในข้อหาฉ้อโกงและอาชญากรรมข้ามชาติ    .


ลักษณะการดำเนินธุรกิจของยูฟัน

ธุรกิจของ “ยูฟัน” แสดงออกมาในรูปแบบบริษัทขายตรง แต่มีการดำเนินการในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ โดยออกสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่า “ยูโทเคน” ซึ่งไม่ได้รับการอนุญาตตามกฎหมาย การหลอกลวงเกิดขึ้นจากการชักชวนให้ประชาชนลงทุนในยูโทเคนผ่านการซื้อสินค้าและบริการ พร้อมสัญญาผลตอบแทนสูงถึง 10-20% ต่อเดือน โดยย้ำว่ายูโทเคนจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี


ธุรกิจนี้ใช้การสร้างเครือข่ายแม่ข่ายและลูกข่าย ที่เน้นการชักชวนคนเข้าร่วมเครือข่ายมากกว่าการขายสินค้าโดยตรง เมื่อมีสมาชิกใหม่เงินที่ได้มาจะนำไปจ่ายผลตอบแทนให้กับสมาชิกเก่า ลักษณะการดำเนินการนี้ทำให้ยูฟันถูกจัดว่าเป็นแชร์ลูกโซ่และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยธุรกิจดังกล่าวสร้างความเสียหายมากกว่า 38,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายมากกว่า 120,000 ราย    .


ศาลอาญาพิพากษาลงโทษคดีแชร์ยูฟัน โดยจำเลยที่เกี่ยวข้องถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม:

1. กลุ่มแม่ข่ายหลัก: จำเลยหลัก 7 ราย ถูกตัดสินจำคุกคนละ 50 ปี (สูงสุดตามกฎหมายจำกัด) โดยมีข้อหาฉ้อโกงประชาชนและมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน

2. กลุ่มผู้ร่วมกระทำผิด: อีก 15 ราย ถูกจำคุกคนละ 20 ปี

3. กลุ่มอื่นๆ: มีผู้ต้องหาอีก 32 ราย ศาลพิพากษาให้จำคุกคนละ 20 ปีเช่นกัน แต่บางรายได้รับการยกฟ้องในชั้นศาลอุทธรณ์และฎีกา   .


ศาลยังสั่งให้ชดใช้เงินคืนผู้เสียหายรวมกว่า 356 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย โดยมูลค่าความเสียหายในคดีนี้สูงถึง 38,000 ล้านบาท   .

แชร์แม่มณี “นางสาววันทนีย์ ทิพย์ประเวช”

 


คดี “แชร์แม่มณี” หรือแชร์ลูกโซ่ที่ดำเนินการโดยนางสาววันทนีย์ ทิพย์ประเวช (เดียร์) เกิดขึ้นในปี 2562 โดยเริ่มจากการชักชวนประชาชนฝากเงินออมกับ “บัญชีแม่มณี” โดยเสนอผลตอบแทนสูงถึง 93% ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้มีผู้เสียหายมากกว่า 2,500 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1,300 ล้านบาท ระยะแรก ผู้ลงทุนได้รับเงินปันผลจริง แต่เมื่อเงินทุนจากนักลงทุนใหม่หมดลง ทำให้ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนได้ตามที่สัญญาไว้

ศาลตัดสินจำคุกนางสาววันทนีย์และผู้สมรู้ร่วมคิดรวม 12,640 ปี แต่ตามกฎหมายไทย โทษสูงสุดคือจำคุก 20 ปี อย่างไรก็ตาม มีการยึดทรัพย์สินเพื่อชดเชยความเสียหายบางส่วนด้วย    .

นางสาววันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือที่รู้จักในชื่อ “เดียร์ แม่มณี” เป็นเน็ตไอดอลและนักธุรกิจหญิงชาวไทยที่กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในปี 2562 จากการจัดการแชร์ลูกโซ่ในนาม “แชร์แม่มณี” เธอใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการชักชวนประชาชนให้มาร่วมออมเงิน โดยเสนอผลตอบแทนสูงถึง 93% ซึ่งดึงดูดผู้ลงทุนจำนวนมากจากทั่วประเทศ


ก่อนเกิดคดีนี้ วันทนีย์เคยมีภาพลักษณ์เป็นผู้จัดละคร รายการโทรทัศน์ และธุรกิจเครื่องสำอาง โดยเธอพยายามสร้างภาพว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2562 เธอถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกงประชาชน มีผู้เสียหายมากกว่า 2,500 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1,300 ล้านบาท ศาลตัดสินให้เธอรับโทษจำคุก 12,640 ปี แต่จำกัดการจำคุกสูงสุดเพียง 20 ปี ตามกฎหมายไทย    .

แชร์แม่ชม้อย ”นางชม้อย ทิพย์โส“

 


คดีแชร์แม่ชม้อยเป็นหนึ่งในคดีแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เกิดขึ้นในช่วงปี 2525-2528 โดยนางชม้อย ทิพย์โส ได้ก่อตั้งบริษัทน้ำมันปลอมขึ้นมา หลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนซื้อน้ำมันผ่านแชร์ลูกโซ่ อ้างผลตอบแทนสูงถึง 6.5% ต่อเดือน ทำให้มีผู้เข้าร่วมลงทุนกว่า 13,000 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท ในเวลานั้น ซึ่งเมื่อนำมาปรับตามเงินเฟ้อในปัจจุบัน มูลค่าความเสียหายจะสูงถึงประมาณ 11,000 ล้านบาท


การฉ้อโกงเริ่มต้นจากการจ่ายผลตอบแทนตรงเวลาในช่วงแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่น แต่สุดท้ายไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนตามสัญญาได้ จนเกิดการร้องเรียนและนำไปสู่การจับกุมในปี 2528 คดีนี้กลายเป็นคดีที่มีการตัดสินจำคุกยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย โดยนางชม้อยถูกตัดสินโทษจำคุกกว่า 154,005 ปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อกฎหมายจำกัดโทษสูงสุดที่จำคุกไม่เกิน 20 ปี เธอจึงต้องโทษจำคุกเพียง 20 ปีเท่านั้น     .


นางชม้อย ทิพย์โส ถูกตัดสินจำคุกถึง 154,005 ปี ในคดีแชร์ลูกโซ่ ‘แชร์แม่ชม้อย’ แต่ตามกฎหมายไทย กำหนดโทษจำคุกสูงสุดเพียง 20 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นางชม้อยได้รับการลดโทษสองครั้งเนื่องจากเป็นนักโทษชั้นดี ทำให้เธอถูกจำคุกจริงเป็นเวลา 7 ปี 11 เดือน และพ้นโทษในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2536 หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ    .

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

5Fs Soft Power ของประเทศไทย



“5F ของ Soft Power สำหรับประเทศไทย เป็นแนวทางในการเน้นและส่งเสริมจุดแข็งทางวัฒนธรรมของประเทศในเวทีระดับโลก โดยประกอบไปด้วย:


1. ภาพยนตร์ – อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลิตภาพยนตร์และผู้กำกับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ภาพยนตร์อย่าง องค์บาก และ ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ช่วยนำความสนใจมาสู่การเล่าเรื่องและภาพยนตร์ไทย

2. อาหาร – อาหารไทยมีชื่อเสียงระดับโลก โดยมีเมนูอย่าง ผัดไทย ต้มยำกุ้ง และ แกงเขียวหวาน ที่เป็นที่โปรดปรานทั่วโลก อาหารไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของไทยในต่างประเทศ

3. แฟชั่น – ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมแฟชั่นที่มีชีวิตชีวา ผสมผสานงานฝีมือดั้งเดิมเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ นักออกแบบและสิ่งทอของไทยกำลังได้รับความสนใจในระดับนานาชาติมากขึ้น ซึ่งส่งเสริมอิทธิพลทางวัฒนธรรมของไทย

4. การต่อสู้ – มวยไทย ศิลปะการต่อสู้ที่เก่าแก่ของประเทศไทย ได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลองในระดับโลก มวยไทยไม่เพียงแต่เป็นกีฬาเท่านั้น แต่ยังเป็นวัฒนธรรมที่แสดงถึงมรดกและระเบียบวินัยของไทย

5. เทศกาล – เทศกาลไทย เช่น สงกรานต์ (เทศกาลปีใหม่ไทย) และ ลอยกระทง (เทศกาลลอยกระทง) ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนทุกปี ส่งเสริมความงดงามและความเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทย

ทั้งห้าสิ่งนี้ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมและค่านิยมของประเทศไทย มีส่วนในการสร้างภาพลักษณ์และอิทธิพลของประเทศในเวทีโลก”

The “5Fs of Soft Power

 


The “5Fs of Soft Power” for Thailand are a way to highlight and promote the country’s cultural strengths on a global stage. Here’s a breakdown:


1. Film – Thai cinema has grown significantly in recent years, producing internationally recognized films and directors. Movies like Ong Bak and Shutter helped bring attention to Thai storytelling and cinema.

2. Food – Thai cuisine is renowned globally, with dishes like Pad Thai, Tom Yum Goong, and Green Curry being favorites worldwide. Thai food plays a major role in representing the country’s culture and identity abroad.

3. Fashion – Thailand has a vibrant fashion industry that blends traditional craftsmanship with modern design. Thai designers and textiles are gaining more attention internationally, contributing to Thailand’s cultural influence.

4. Fight – Muay Thai, the ancient martial art of Thailand, is globally recognized and celebrated. It’s not only a sport but also a cultural practice that showcases Thailand’s heritage and discipline.

5. Festival – Thai festivals, like Songkran (Thai New Year water festival) and Loy Krathong (the floating lantern festival), attract millions of tourists every year, promoting the beauty and uniqueness of Thai culture.


These five elements help promote Thailand’s culture and values, contributing to its image and influence on the world stage.

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สอนลูกอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ (Raising an entrepreneur)

 

“Raising an Entrepreneur” เป็นหนังสือที่เขียนโดย Margot Machol Bisnow ซึ่งสำรวจวิธีการที่พ่อแม่สามารถปลูกฝังลักษณะนิสัยทางการเป็นผู้ประกอบการในลูกของตน หนังสือเล่มนี้อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์กับผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ 70 คนและพ่อแม่ของพวกเขา ซึ่งรวมถึงบุคคลจากหลากหลายอุตสาหกรรม หนังสือมีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาว่า ปัจจัย การเลี้ยงดู และแนวทางใดที่ช่วยให้เด็กเติบโตมาเป็นผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรม มีความยืดหยุ่น และประสบความสำเร็จ

ประเด็นสำคัญจาก “Raising an Entrepreneur”:

1. ส่งเสริมความหลงใหล: หนึ่งในประเด็นหลักคือความสำคัญของการส่งเสริมให้เด็กติดตามความสนใจของตัวเอง แทนที่จะผลักดันพวกเขาไปสู่เส้นทางอาชีพแบบดั้งเดิมหรือการตั้งความคาดหวังที่เข้มงวด

2. ความยืดหยุ่นและการยอมเสี่ยง: หนังสือเน้นถึงความสำคัญของการปลูกฝังความยืดหยุ่นและการอนุญาตให้เด็กได้เสี่ยงและล้มเหลว สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและความมั่นใจในความสามารถในการเผชิญกับความท้าทาย

3. การเลี้ยงดูที่สนับสนุน: Bisnow พบว่าผู้ประกอบการหลายคนมีพ่อแม่ที่ให้การสนับสนุนและไว้วางใจ อนุญาตให้พวกเขามีอิสระในการสำรวจความสนใจและสนับสนุนความเป็นอิสระ

4. ความอยากรู้อยากเห็นและความคิดสร้างสรรค์: การกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น ความคิดสร้างสรรค์ และการคิดนอกกรอบเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงดูเด็กให้มีความคิดแบบผู้ประกอบการ

5. ทักษะชีวิตเหนือความสำเร็จทางวิชาการ: พ่อแม่ควรเน้นการสอนทักษะชีวิต เช่น ความพยายาม ความสามารถในการปรับตัว และการสื่อสาร มากกว่าที่จะเน้นไปที่ความสำเร็จทางวิชาการเพียงอย่างเดียว เนื่องจากทักษะเหล่านี้มีคุณค่าในการเป็นผู้ประกอบการมากกว่า

หากคุณสนใจที่จะเรียนรู้วิธีสนับสนุนและปลูกฝังทักษะการเป็นผู้ประกอบการในเด็ก หนังสือเล่มนี้จะมอบทั้งแรงบันดาลใจและคำแนะนำที่สามารถนำไปใช้ได้จริงจากตัวอย่างชีวิตจริงของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จและครอบครัวของพวกเขา คุณต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนใดของหนังสือหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ หรือไม่?