คดี “แชร์ยูฟัน” เกิดขึ้นในปี 2558 โดยบริษัท “ยูฟันสโตร์” ซึ่งอ้างว่าทำธุรกิจขายตรง แต่จริง ๆ แล้วมีการสร้างเงินดิจิทัลที่เรียกว่า “ยูโทเคน” เพื่อหลอกลวงประชาชนเข้าร่วมลงทุนผ่านระบบแชร์ลูกโซ่ มีผู้เสียหายกว่า 120,000 ราย และมูลค่าความเสียหายสูงถึง 38,000 ล้านบาท การหลอกลวงเกิดจากการชักชวนให้คนร่วมลงทุนในสินค้าต่าง ๆ พร้อมสัญญาผลตอบแทนสูง แต่เงินที่ได้ถูกนำไปจ่ายให้สมาชิกเก่าตามลักษณะของแชร์ลูกโซ่
ศาลพิพากษาให้จำคุกผู้บริหารสูงสุดถึง 50 ปี (ตามกฎหมายจำกัดสูงสุด) และจำคุกสมาชิกเครือข่ายอื่น ๆ รวม 32 ราย โดยมีคำสั่งให้ชดใช้เงินคืนผู้เสียหายประมาณ 356 ล้านบาท ทั้งนี้ คดีถูกยกฟ้องบางราย แต่ศาลฎีกายืนยันบทลงโทษต่อจำเลยหลักในข้อหาฉ้อโกงและอาชญากรรมข้ามชาติ .
ลักษณะการดำเนินธุรกิจของยูฟัน
ธุรกิจของ “ยูฟัน” แสดงออกมาในรูปแบบบริษัทขายตรง แต่มีการดำเนินการในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ โดยออกสกุลเงินดิจิทัลที่เรียกว่า “ยูโทเคน” ซึ่งไม่ได้รับการอนุญาตตามกฎหมาย การหลอกลวงเกิดขึ้นจากการชักชวนให้ประชาชนลงทุนในยูโทเคนผ่านการซื้อสินค้าและบริการ พร้อมสัญญาผลตอบแทนสูงถึง 10-20% ต่อเดือน โดยย้ำว่ายูโทเคนจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี
ธุรกิจนี้ใช้การสร้างเครือข่ายแม่ข่ายและลูกข่าย ที่เน้นการชักชวนคนเข้าร่วมเครือข่ายมากกว่าการขายสินค้าโดยตรง เมื่อมีสมาชิกใหม่เงินที่ได้มาจะนำไปจ่ายผลตอบแทนให้กับสมาชิกเก่า ลักษณะการดำเนินการนี้ทำให้ยูฟันถูกจัดว่าเป็นแชร์ลูกโซ่และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยธุรกิจดังกล่าวสร้างความเสียหายมากกว่า 38,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายมากกว่า 120,000 ราย .
ศาลอาญาพิพากษาลงโทษคดีแชร์ยูฟัน โดยจำเลยที่เกี่ยวข้องถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม:
1. กลุ่มแม่ข่ายหลัก: จำเลยหลัก 7 ราย ถูกตัดสินจำคุกคนละ 50 ปี (สูงสุดตามกฎหมายจำกัด) โดยมีข้อหาฉ้อโกงประชาชนและมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน
2. กลุ่มผู้ร่วมกระทำผิด: อีก 15 ราย ถูกจำคุกคนละ 20 ปี
3. กลุ่มอื่นๆ: มีผู้ต้องหาอีก 32 ราย ศาลพิพากษาให้จำคุกคนละ 20 ปีเช่นกัน แต่บางรายได้รับการยกฟ้องในชั้นศาลอุทธรณ์และฎีกา .
ศาลยังสั่งให้ชดใช้เงินคืนผู้เสียหายรวมกว่า 356 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย โดยมูลค่าความเสียหายในคดีนี้สูงถึง 38,000 ล้านบาท .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น