วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

การพัฒนาตนสู่ระบบราชการและการเป็นข้าราชการที่ดี

การพัฒนาตนสู่ระบบราชการและการเป็นข้าราชการที่ดี
ภาณุวัฒน์  ยาวศิริ
Institute of Physical Education
      
ขอบคุณ ครูพรไพร
   

           ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงานปัจฉิมนิเทศนักศึกษา ของสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตกระบี่  ประจำปีการศึกษา 2557  ณ ห้องประชุมชั้น 3  อาคารวิทยบริการ ในครั้งนั้น ทางสถาบันได้เชิญข้าราชการบำนาญท่านหนึ่ง  อดีตท่านเป็นรองผู้อำนวยการการศึกษาขั้นพื้นฐานจังหวัดกระบี่  ท่านสมควร จงอักษร  ท่านมาบรรยายในเรื่อง  “การพัฒนาตนสู่ระบบราชการและการเป็นข้าราชการที่ดี”  ในครั้งนี้ ท่านแบ่งการพูดเป็นสองตอน  ตอนที่หนึ่ง  คือ  การพัฒนาตนเอง  ตอนที่ 2 การเข้าสู่ระบบราชการและเป็นข้าราชการที่ดี  ท่านได้ให้แนวคิดไว้ดีมาก  ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการบรรยายที่มีประโยชน์จึงได้นำมาสรุปไว้  เพราะท่านแนะนำไว้ว่า  “ถ้าจำไม่ได้ก็ให้จด  ถ้าจำไม่หมดจดเสียดีกว่า”  จึงนำมาเขียนไว้ ดังต่อไปนี้
การพัฒนาตนเอง
                การพัฒนาตนเองตามหลักพระมหาชนก   เนื่องจากในชาดกเรื่องพระมหาชนก ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบ ทศชาติชาดก  ซึ่งเป็นสิบชาติสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ซึ่งในเรื่องนี้จะพูดถึงความเพียรพยายามของพระมหาชนกที่ว่ายน้ำ 7วัน 7 คืน เพื่อเข้าหาฝั่งโดยมิย่อท้อ  เป็นการนำเอาหลักคิดของความเพียรสู่ความสำเร็จนั่นเอง 
                1. มีพลานามัยที่สมบูรณ์  รักษาสุขภาพให้แข็งแรง  การมีสุขภาพแข็งแรงถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ  คนที่มีสุขภาพแข็งแรงย่อมสามารถทำอะไรได้มากกว่าคนที่ร่างกายอ่อนแอ  ถ้ารู้ว่าสุขภาพสำคัญก็ควรดูแลตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาว  มิใช่ไปออกกำลังกายตอนแก่  การทำอะไรตามใจตัวเองนั้นจะไม่ส่งผลดีต่อตัวเองแน่นอน  “ตามใจปากระวังจะเป็นหมู  ตามใจจู๋ระวังจะเป็นเอดส์”  การตามใจปากนั้นมีโอกาสที่จะอ้วนเป็นอย่างมาก  ท่านรู้ไหมว่า  1 อ้วนเท่ากับ 10 โรค  นำทีมโดยเบาหวาน  และตามด้วยอีก 9 โรค  เช่น  เบาหวาน+ความดัน
เบาหวาน+แผลกดทับ  เบาหวาน+ อีกมากมายหัวใจจะวายเสียก่อน  รู้ตัวแล้วก็ออกกำลังกายเสียก่อนที่จะได้รับราชการ  มิใช่สอบได้แล้วตรวจโรคไม่ผ่าน  คนที่ออกกำลังกายในปัจจุบันนี้มี 3 ประเภท คือ ออกกำลังกายเพราะหมอสั่ง (ไม่ออกตาย...555)  ออกกำลังกายเพราะสุขภาพ  (พวกนี้ออกเป็นประจำเพราะรักตัวเอง)  ส่วนพวกที่สามออกกำลังกายเพราะรักคนอื่น (กลัวหุ่นไม่สวยไม่หล่อโดยเฉพาะมีแฟนเด็ก..555)
                2.  มีสติปัญญาที่เฉียบคม  หาความรู้ใหม่   (หลักคิด : ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน)  หาความรู้ในหลายๆด้าน  ให้ทันกับเหตุการณ์ ยุคสมัยในปัจจุบัน  การกระทำในทุกๆเรื่องต้องมีความขัน ซื่อสัตย์ อดทน  เป็นหลัก  เพื่อนำความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหา  “พี่ไทยมักทำจากใหญ่มาหาเล็ก” ตามสโลแกนคิดใหญ่ทำใหญ่  แต่ไม่มีความพร้อมอะไรสักอย่างสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาอะไร  งานมักจะล่มอยู่เสมอ  “เจ๊กทำจากเล็กไปใหญ่”  การทำงานตามลำดับขั้น  มีการเติบโตเป็นขั้นเป็นตอน  มีสติปัญญาอยู่เสมอ  จึงมิใช่เรื่องแปลกที่ คนรวยส่วนมากจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ก็เพราะการใช้สติปัญญาอันแหลมคมนี่เอง
                3.  มีความเพียรเป็นเลิศ   “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน “  คนขยันนั้นมีโอกาสมากกว่าคนที่ขยันน้อย  การเตรียมตัวเองเรื่องของความเพียรพยายามเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  “คิดแล้วทำจึงสำเร็จ”
การเข้าสู่ระบบราชการและการเป็นข้าราชการที่ดี
                ในปัจจุบันคนไทยเรายังมีการคัดเลือกคนเข้าสู่ระบบราชการ  มีสองระบบ คือระบบอุปถัมภ์กับระบบคุณธรรม (Patronage system  and  Merit system)  ทั้งนี้ทั้งดูได้จาก วิธีการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานของข้าราชการในการบรรจุเข้ารับตำแหน่งทางราชการ ระเบียบกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยทางราชการตลอดจน ระบบรักษาคุณธรรมที่มีอยู่ในสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)   ปัจจุบันก็ยึดแนวการสอบผ่านข้อเขียนที่ 60 เปอร์เซ็นต์  สำหรับคนที่ต้องการสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูก็มีหลักการในการเข้าสู่ตำแหน่งข้าราชการครู  ดังต่อไปนี้
                1. สมัครเข้าเป็นครูอัตราจ้าง   มีข้อคำถามมากมายเกี่ยวกับการเป็นครูอัตราจ้าง  เนื่องจากการเป็นครูทำให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาที่เกี่ยวกับวิชาชีพมากกว่าคนอื่น  เน้นย้ำสำคัญมากคือ  ต้องเป็นครูอัตราจ้างจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลเท่านั้น  เพราะว่าการจ้างด้วยเงินรัฐบาลนั้นมีโอกาสในการเปิดตำแหน่งรับต่อไป  ไม่ควรเป็นครูอัตราจ้างด้วยเงินอุดหนุนอื่นๆ  เช่น เงินจากกองทุนอาหารกลางวัน เงินทุนจากสวนปาล์มโรงเรียน เป็นต้น  และเมื่อเป็นครูอัตราจ้างครบสามปีก็มีโอกาสสอบเป็นการภายในก่อน จึงมีโอกาสก่อนคนอื่นๆ
                2.  ไปสอบในพื้นที่ๆมีโอกาสมาก   เป็นคำแนะนำพิเศษสำหรับคนที่ต้องการเป็นข้าราชการ  เช่น บางจังหวัดมีคนสอบน้อยก็ควรสมัคร  การไปสอบจังหวัดที่มีการแข่งขันสูงก็ย่อมมีโอกาสน้อยกว่า  มีหลายคนแนะนำว่า ไปแม่ฮ่องสอน (สอนบนดอย)  ไปสามจังหวัดชายแดนใต้
                3.  มีเพื่อนเป็นหนังสือ  คนที่อ่านหนังสือมากกว่า ย่อมมีโอกาสสอบได้มากกว่าคนที่ไม่อ่านหนังสือ  ให้รักการอ่านหนังสือ  ศึกษาว่าเขาสอบอะไรบ้าง เรื่องอะไรบ้าง  และวางแผนการอ่านหนังสือล่วงหน้าเพื่อการสอบที่มีประสิทธิภาพกว่า  ไม่ควรซื้อเอกสารจากสำนักติว  ควรซื้อหนังสือจากสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงเนื่องจากคนเขียนเป็นนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้   ถามว่าทำไมต้องอ่านหนังสือจากสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียง  ก็เนื่องจากว่าคนที่ไปออกข้อสอบนั้นเขาต้องถูกกักบริเวณ พอเขาคิดข้อสอบได้สักพักสมองเขาก็ไม่แล่นแล้ว เขาก็เปิดจากหนังสือเหล่านี้นั่นเอง 

               สำหรับคนที่มีโอกาสได้เป็นข้าราชการแล้ว  ก็ควรยึดหลักของคุณธรรมจริยธรรมอันดีงาม  เพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญเติบโตต่อไป   “คิดเป็นเมื่อยังหนุ่ม ไม่ต้องกลุ้มเมื่อตอนแก่”  เมื่อเราคิดได้ตอนที่เราสำเร็จการศึกษา เรามีโอกาสพัฒนาตนเองไปได้เร็วกว่าคนที่คิดได้ทีหลัง  ต้องคิดตามแบบคนสำเร็จแล้ว (Benchmarking)  จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการลองผิดลองถูก  ส่วนเวลาตกอย่าท้อ  ต้องพยายามและองใหม่เสมอ    หลักในการเข้ารับการสัมภาษณ์  ควรใช้หลักการ  “มาดต้องตา วาจาต้องใจ นิสัยต้องงาม” ควรฝึกตนให้มีคุณลักษณะนี้เสมอ   การพัฒนาตัวเองต้องมีการดูแลสุขภาพ  หาความรู้ใหม่และมีความเพียรเป็นเลิศ    ส่วนการเข้าสู่ระบบราชการนั้น  ควรสมัครเป็นครูอัตราจ้างก่อน  ไปสอบในพื้นที่ที่มีการแข่งขันน้อยและการอ่านหนังสือด้วยความเพียรเป็นสิ่งที่สำคัญ

1 ความคิดเห็น: