วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เคมีตรงกัน ความสัมพันธ์จึงเกิด


เคมีตรงกัน
ความสัมพันธ์จึงเกิด
Johnny Panuwat
Community Development  Centre
---------------------------------------------------------------------------------

ก็เคมีมันตรงกันน่ะวลีนี้อาจจะออกจากวัยรุ่นหลายคน เมื่อถูกถามถึงสาเหตุที่ปิ๊งปั๊ง หรือรู้สึกดีต่อเพศตรงข้าม และมันอาจจะเป็นวลีที่โดนใจคนที่กำลังมีความรักอีกนับร้อยนับพัน จนถูกใช้บ่อยๆ และทำให้เป็นอีกวลีคุ้นหูของเราๆ ท่านๆ ในยุคนี้ ทำให้พ่อแม่หลายคนอาจจะถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้าเมื่อเจ้าลูกวัยโจ๋บอกเล่าถึงแฟนหนุ่มหรือแฟนสาวก่อนจะสรุปให้ฟังง่ายๆ ว่า เขาหรือเธอทั้งคู่เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อการด้วยเหตุผลง่ายๆ แต่ชวนเข้าใจยากอย่าง เพราะเคมีตรงกัน
     
       
แต่ในความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์นั้น คำว่า เคมีตรงกันไม่ใช่แค่คำพูดสุดกวนในความคิดของพ่อแม่ เพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาชื่อดัง ยืนยันแล้วว่ามันมีจริงๆ !
     
       “
ถ้าเด็กๆ รู้จักใช้คำนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีนะครับ นั่นคือ เขามีความรู้ระดับหนึ่งละ เพราะความรักมันก็เป็นเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองเหมือนกัน มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อยที่ระบุว่า ความรู้สึกรักนั้นเชื่อมโยงกับสารเคมีในสมอง 7-8 ตัว

@@@@ระดับความสัมพันธ์ของความรัก@@@
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็ก และวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่า ระดับความสัมพันธ์ของความรัก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ซึ่งล้วนแล้วเกี่ยวกับเคมีในร่างกายทั้งสิ้น โดยในระดับแรกคือระดับ ดึงดูด

คำว่าเคมีตรงกันมันอาจจะเป็นคำอธิบายที่ดี ของความรู้สึกที่เราไปปิ๊งคนๆ หนึ่ง แต่เพื่อนที่มากับเรารู้สึกเฉยๆ หรือว่าทำไมผู้ชายคนหนึ่งเห็นผู้หญิงคนนี้แล้วถูกใจ รู้สึกชอบ แต่ผู้ชายอีกคนเมื่อมองผ้หญิงคนนี้ กลับไม่รู้สึกอะไร มีการวิจัยในสัตว์ว่า สัตว์มีฟีโรโมนที่ดึงดูดสัตว์เพศตรงข้ามให้สนใจได้ มนุษย์เองก็มี ซึ่งเมื่อเราพบคนที่เรารู้สึกดึงดูดแล้ว ร่างกายจะบอกเราทันที เพราะจะมีการหลั่งเคมีที่ชื่อว่าฮอร์โมน Dopamine และ Norepinephrine ซึ่งจะส่งผลต่อประสาทอัตโนมัติกระตุ้นให้ใจเต้นเร็ว

ในสเต็ปต่อมา หลังจากผ่านภาวะการดึงดูดซึ่งกันและกันแล้ว หากความสัมพันธ์พัฒนาต่อมาเป็น ผูกพันโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาวัยรุ่นรายนี้ กล่าวว่า เมื่อหญิงชายที่รู้สึกดึงดูดกันและกัน ตกลงคบหาเรียนรู้ ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ก็จะเกิดความรู้สึกผูกพัน โดยในระดับนี้ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อว่า Oxytonin และ Vasopressin ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของคู่รัก ทำให้อยากทนุถนอมอีกฝ่าย

ระดับสุดท้ายคือ ระดับที่คู่รักเกิดความรู้สึกทางเพศ ซึ่งเกิดจาก Testosterone ในผู้ชาย และ Estrogen ในผู้หญิง อันนี้ที่น่าเป็นห่วง เพราะทุกวันนี้การสื่อสารเร็วกว่าเดิมมาก ความสัมพันธ์ระดับนี้อาจจะเกิดเร็วซึ่งน่ากังวล โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในเยาวชน โบราณเรามักจะสอนลูกหลานให้ดูกันนานๆ หมั้นไว้ก่อน 2-3 ปี หรืออย่าชิงสุกก่อนห่าม อันนี้น่าสนใจ เพราะฮอร์โมน Vasopressin ที่เกิดในระดับความสัมพันธ์ที่ 2 นั้นเป็นฮอร์โมนที่มีเทอมของมัน ในระดับคู่รักมันจะหลั่งอยู่ประมาณ 2 ปี แล้วก็จะหายไป แล้วจะกลับมาอีกทีในช่วงที่แม่ให้นมลูก อันนั้นจะเป็นการหลั่งแบบระยะยาว


ปฏิกิริยาเคมีระหว่างกัน 5 ประการ
แค่สบตาแว่บแรกก็สปาร์คเสียแล้ว เกิดจิตปฏิพัทธ์สเน่หาขึ้นมาเต็มอก รู้สึกวูบวาบหนาวๆร้อนๆราวกับเป็นไข้ นั่นแหละปฏิกิริยาเคมี อาการแบบนี้มักเกิดแบบเฉียบพลันทันใด ไร้เหตุผล และสติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ควบคุมจิตใจไม่ค่อยได้ ความคิดคอยวนเวียนอยู่แต่ว่าทำอย่างไรจึงจะพาตัวเราเข้าไปอยู่ใกล้เขาให้ได้มากที่สุด ถ้าปิ๊งกับหนุ่มโสดก็ดีไป แต่ถ้าไปปิ๊งกับสามีเพื่อนก็แย่หน่อย คงต้องมานั่งทำใจเอาเอง

อาการปิ๊งกันแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าความสัมพันธ์จะเจ๋งสุดยอด แต่เป็นพื้นฐานสำหรับความสุขของชีวิตคู่ในระยะยาว ซึ่งถ้าไม่มีปฏิกิริยาเคมีระหว่างกันตั้งแต่เริ่มแรก ยิ่งอยู่กันไปก็มีแต่ความจืดชืดแน่นอน เราจะมีปฏิกิริยาเคมีต่อกันก็เมื่อ

. เราพบว่าหนุ่มคู่ใจของเราช่างมีเสน่ห์เร้าใจอะไรเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของเรา ราวกับเกิดมาเพื่อเราเท่านั้น
. เวลาอยู่กับเขารู้สึกเหมือนเมานิดๆ ต่อให้มีคนแออัดยัดทะนานเต็มห้อง เราก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่กันตามลำพัง เพราะส่งสายตาจับจ้องกันและกันเท่านั้น
. เรารู้สึกเหมือนมีเสียง คลิกดังอยู่ในหัว แถมสัญชาตญาณในส่วนลึกยังร่ำร้องกู่ก้องว่า นี่ละ ใช่เลย!
. เราและเขามีเซ็กส์กันบ่อยมาก ..ก... ยิ่งตอนเจอกันครั้งแรก แทบจะกระโดดฉีกทึ้งเสื้อผ้ากันและกันถ้าไม่เกรงใจว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย

ความเข้ากันได้
คู่รักบางคู่มีปฏิกิริยาเคมีรุนแรงปานพายุถล่ม แต่ทั้งคู่แตกต่างกันอย่างมาก ประมาณว่าคนหนึ่งเป็นนักเรียนแพทย์ อีกคนเป็นสาวเสิร์ฟ ซึ่งความสัมพันธ์มักมีปัญหา ความเข้ากันได้หรือความใกล้เคียงกันมักเกี่ยวเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต ภูมิหลังชีวิต และความคาดหวังในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า เราจะรู้สึกอึดอัดหรือสบายอกสบายใจเมื่ออยู่กับอีกฝ่าย ความแตกต่างกันมากเกินไปรังแต่จะสร้างปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น รสนิยมในการกินข้าวดูหนังฟังเพลง ใช้เวลาแค่เดือนเดียวก็ดูออกว่าเข้ากันได้หรือเปล่า แต่ถ้าหมายถึงชีวิตคู่ที่ต้องอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าคงต้องใช้เวลาดูนานหลายปี ของแบบนี้ไม่ใช่มองออกกันง่ายๆซะเมื่อไร สาเหตุที่คนมักเลิกรากันมากที่สุดก็คือ คาดหวังอะไรไม่เหมือนกัน เราหลงรักเขาตอนไปปิ๊งกันบนเกาะแสนสวยล้อมรอบด้วยหาดทรายขาว แต่พอมาเจอกันในชีวิตจริงลมแทบจับ เขาเป็นหนุ่มออฟฟิศทำงานแบงค์ กินข้าวกับแม่ทุกเย็นวันพุธ เตะฟุตบอลกับเพื่อนทุกวันอาทิตย์ เจอแบบนี้ก็คงหมดอารมณ์ไปเลย

เป้าหมายทั่วไป
เมื่อพูดถึงเป้าหมายทั่วไปในชีวิต คนมักคิดถึงการเลือกซื้อบ้านกับการมีลูก ของแบบนี้มันเรื่องธรรมดา คู่รักมักคล้อยตามกันไปได้ง่าย เรื่องที่ตื่นเต้นกว่าและยากกว่าก็คือ การออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน การวางแผนเดินทางไปเที่ยวไกลๆ ลองมานั่งคิดกันดูว่า มีความต้องการหรือรสนิยมอะไรที่ตรงกันบ้าง ถ้ามีตรงกับสี่ข้อข้างล่างนี้ก็ขอแสดงความยินดีด้วย

. เราและเขาเป็นทีมที่เข้าขากันดี สมมติว่าถ้าคนหนึ่งลุกขึ้นเลือกวิดีโอ อีกคนก็จะรับหน้าที่เตรียมไวน์และ. จัดของหวาน
. เราและเขามักให้ความสำคัญกับวันพิเศษ เช่น วันครบรอบหรือวันเกิด ต้องมีการเตรียมการจัด คืนพิเศษเอาไว้ทุกครั้ง
. เราและเขาโปรดปรานการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ ด้วยการมอบของขวัญที่ผู้รับไม่ได้คาดหมายมาก่อน หรือโทรศัพท์พูดคำหวานในยามที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึง
. เราและเขาพยายามคงความสัมพันธ์ให้สดใหม่และตื่นเต้น ด้วยการชวนกันหาอะไรแปลกใหม่ทำกันอยู่เรื่อย

ก้าวเดินของชีวิต
ปฏิกิริยาเคมีก็พุ่งปรี๊ด เข้ากันได้แทบทุกเรื่อง แถมเป้าหมายทั่วไปก็ยังตรงกันอีกบานพะเรอ แล้วยังจะมีปัญหาอะไรอีก ปัญหาคือก้าวเดินของชีวิตเราและเขาแตกต่างกันหรือไม่ เราเป็นคนคิดเร็ว เคลื่อนไหวเร็ว วันๆมีโครงการร้อยล้านอยู่เต็มหัว ชีวิตชุลมุนชุลเกขนาดคอหนีบโทรศัพท์ในขณะพิมพ์คอมพิวเตอร์ไปด้วย วิ่งวุ่นทำงานทั้งวันแทบจะนั่งติดแต่ละครั้งได้ไม่เกินห้านาที เพื่อกรุยทางสู่ตำแหน่งผู้บริหารไห้ได้ภายใน 5 ปี ตามที่ตั้งเป้าไว้ หากเราไม่ใช่คนประเภทนี้แต่ต้องมาอยู่กับคนแบบนี้ ชีวิตคู่ย่อมไม่สดใสแน่ ก้าวเดินของชีวิตมีนัยอีกอย่างคือ ความทะเยอทะยานนั่นเอง ถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมีเงินเดือนเป็นเลขหกหลักให้ได้ นั่นหมายถึงการอุทิศชีวิตและเวลาเพื่องานจริงๆ ดังนั้นคู่ของเราจะต้องเข้าใจและคอยสนับสนุน มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่แน่นอน เราและเขามีความทะเยอทะยานประมาณเดียวกันหรือเปล่า ดูได้จาก

. พลังงานของเราและเขาอยู่ในระดับเท่าเทียมกันไม่ว่าจะทำอะไร เช่น ชอบนอนขลุกดูทีวีด้วยกันทั้งวัน หรือชอบออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาข้างนอกมากกว่า
. มีทัศนคติในการทำงานเหมือนกัน คือให้ความสำคัญกับการทำงานเท่ากัน
. เราและเขาคิดและพูดด้วยระดับความเร็วเดียวกัน
. เราและเขาต้องการเวลาส่วนตัวและความตื่นเต้นในปริมาณและสัดส่วนพอๆกัน

จังหวะชีวิต
เราและเขามีปัจจัยสี่ข้อครบถ้วน ทั้งปฏิกิริยาระหว่างกัน ความเข้ากันได้ เป้าหมายทั่วไป และก้าวเดินของชีวิต แต่จังหวะชีวิตไม่ลงล็อคนี่สิ เกิดเรื่องเลยละ จังหวะชีวิตที่ผิดที่ผิดเวลาดูได้จาก

. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพิ่งเลิกรากับรักเก่าซึ่งครองรักกันมานานแนบแน่น การพุ่งตรงเข้าหารายใหม่ จึงเป็นเรื่องไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
. งานกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องให้เวลามุ่งมั่นกับงาน
. มีเรื่องที่ยังค้างคา คือยังกำจัดรักเก่าออกจากสาระบบชีวิตได้ไม่หมดจด หรือยังเยียวยาแผลใจไม่หายสนิท
. ยังไม่พร้อมผูกมัด เรายังรู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องทำอีกมากก่อนที่จะลงหลักปักฐานร่วมใช้ชีวิตกับใคร

หลักการสร้างเสน่ห์เพื่อเกิดปฎิกิริยาเคมี
หลายคนอาจมั่นใจในตัวเองว่าเป็นคนมีเสน่ห์ และถูกแวดล้อมด้วยคนรอบข้างตลอดเวลา แต่แน่ใจหรือว่า คุณเป็นคนเจ้าเสน่ห์ที่มีความสุข ในชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แค่คนมารุมล้อมคุณเพราะการที่คุณลงทุนทุ่มเงินหรือสิ่งตอบแทนให้เขาเหล่านั้น "หนังสือ 104 วิธีสู่การเป็นคนน่ารัก" ได้ให้แง่คิดการมีชีวิตแบบเป็นสุข จนอดหยิบยกมานำเสนอให้กับสาวเจ้าเสน่ห์ที่อยากมีความสุขที่แท้จริงไม่ได้ว่า จริงๆ แล้ว การหันมามองตัวเองเป็นการสร้างความสุขให้กับตัวเองมากที่สุด (www.noabiz.com)
1. สร้างเป้าหมายให้กับชีวิต
ดัชนีที่สามารถใช้ชี้วัดความกระตือรือร้นและพลังชีวิตของแต่ละคนคือความสามารถในการสร้างเป้าหมายในชีวิต ลองถามตัวเอง ให้แน่ในเกี่ยวกับเป้าหมายระดับต่างๆ ที่ตั้งไว้ เพราะสิ่งนั้นควรจะเป็นเรื่องที่เราต้องการจริงๆ มีเวลาและพลังงานมากพอ รวมทั้งคุ้มค่าต่อ ความพยายามที่แลกไป เป้าหมายในระดับสูงน่าจะเป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณค่าที่เรายึดถือในชีวิตอย่างแท้จริง เพื่อที่ว่าจะได้เกิดแรงผลักดัน ในการไปให้ถึง
2. กำหนดแต่ละก้าวสู่จุดหมายให้ชัดเจน
แต่ละก้าวที่เรามุ่งไปสู่จุดหมาย เมื่อสิ้นสุดภารกิจแต่ละขึ้นตอน สูดหายใจลึกๆ และทบทวนอีกครั้งว่าก้าวต่อไปจะแตกต่างจากเดิมอย่างไร ด้วยวิธีนี้จะทำให้เรามองเห็นขึ้นต่อไปชัดเจนขึ้น และมีพลังงานสำรองมากพอที่จะลุยไปข้างหน้า หากเป้าหมายที่วางไว้เป็น สิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยในชีวิต ลองปรึกษากับคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน ใช้คำแนะนำและชัยชนะของพวกเขา มาเป็นแรงกระตุ้นที่มีประโยชน์สำหรับเรา แล้วทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
3. รักษาทัศนคติในแง่บวกและความกระตือรือร้นเอาไว้ให้ด
กฎทองที่ควรมีไว้เตือนใจตัวเองเป็นประจำคือ พยายามเพ่งมองผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังทำอยู่ในแง่ดี มากกว่ามองในแง่ลบ แล้วสิ่งนี้เองที่จะสะท้อนไปถึงสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ที่คุณจะสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความสุขใน การทำงานเพิ่มขึ้น
4. รู้จักใช้ศิลปะในการวิพากษ์วิจารณ
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้พ้นทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่เราเป็นผู้กระทำและเป็นฝ่ายถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นมุมไหนก็ตาม ศิลปะในการวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์มีกฎง่ายๆ อยู่ไม่กี่ข้อ คือ มีจุดประสงค์ในการวิจารณ์ที่เสนอ ทางออก ที่เป็นจริง รวมทั้งให้คำแนะนำที่ดีในการแก้ปัญหา ในการวิพากษ์วิจารณ์ควรทำเป็นส่วนตัวไม่ใช่ในที่สาธารณะ และคำนึงถึง ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนต่างๆ ด้วย หากทำได้ตามขั้นตอนเหล่านี้ การวิพากษ์วิจารณ์นั้นๆ จะให้ผลในแง่ดี
5. พูดคำว่า "ไม่" เสียบ้าง เพื่อลดความเครียดลง
ดูเหมือนว่าความเครียดส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาจากการปฏิเสธคนไม่เป็น หรือการไม่พูดคำว่า "ไม่" ออกไปชัดเจน ในบาง สถานการณ์โดยเฉพาะในชีวิตการทำงาน การปฏิเสธในเวลาที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรือทำให้ดูไร้น้ำใจเสมอไป เพียงแต่ต้อง เลือกวิธีการและจังหวะเวลาให้ดี ปฏิเสธอย่างชัดเจนในกรณีที่ทำไม่ได้จริงๆ พูดสั้นๆ แค่ "ไม่ค่ะ ขอบคุณมาก" แต่ในบางกรณีอาจปฏิเสธพร้อมเหตุผลสั้นๆ เช่น "ไม่สะดวกค่ะ ต้องรีบเตรียมรายงานสำหรับวันพรุ่งนี้" การมีท่าทียิ้มแย้มจะทำให้การปฏิเสธนั้นไม่ดูก้าวร้าว
6. มองหาศรัทธาในชีวิต
ในชีวิตคนเราจำเป็นต้องมีศรัทธาต่อบางสิ่งอยู่เสมอ ศรัทธาคือความเชื่อมั่นหรือการให้คุณค่าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความหมายและคำอธิบาย ต่อการได้เกิดมามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ง่ายๆ อย่างเช่นความศรัทธาที่มีต่อศาสนา ซึ่งถ้าเราจะยึดถือในเรื่องศาสนาได้อย่างพอดีก็นับเป็นเรื่องดีมาก เมื่อมีศรัทธาแล้ว ก็หันมายอมรับและพอใจกับตัวเอง ด้วยการค้นหาความสำเร็จสูงสุดในชีวิตให้เจอแล้ว แล้วมีความพอใจกับมัน แค่นี้ความพอใจในชีวิตก็จะเกิดขึ้นเอง
7. ดูแลสุขภาพกายใจให้ดีอยู่เสมอ
อย่าหลงลืมเป็นอันขาด การดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นเรื่องพื้นฐานที่เราต้องทำให้เป็นวินัยไปชั่วชีวิต เพราะเมื่อ สุขภาพดี เป็นเบื้องต้นแล้ว เท่ากับว่าต้อนทุนชีวิตของเรามีตุนอยู่เต็มกระเป๋า โดยเริ่มด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่ามัวคุมอาหารจนผอมหัวโต ออกกำลังกายเป็นประจก อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 นาที และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คุณภาพชีวิตเต็มร้อยแน่นอน
8. อิ่มใจกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต
ไม่จำเป็นเสมอไปที่ความอิ่มเอิบใจ จะมาจากความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพราะมีตัวอย่างหลายต่อหลายเรื่องที่ทำให้เห็นว่า ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ต่างหากที่จะนำไปสู่ชัยชนะที่สูงที่สุดในชีวิต ดังนั้นลองหันมาชื่นชมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำสำเร็จดูบ้าง หากรู้จักอิ่มใจแล้ว ทีนี้ก็มอบความรักให้กับผู้อื่นด้วยการให้อภัย และพร้อมที่จะยกโทษให้คนรอบข้างได้เสมอ
9. ฟื้นฟูคุณค่าให้ตัวเอง ในวันที่แสนท้อแท
คงจะมีบ้างในบางวันที่รู้สึกล้มเหลวและเป็นผู้แพ้ แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองหมดแรงนอนซม หรือตามใจตัวเองผิดๆ ด้วยการกินอย่าง ไม่บันยะบันยัง ดังนั้นลองหาวิธีง่ายๆในการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เช่น ใช้เวลายามเย็นเดินชมสวน โทรคุยกับเพื่อนเก่าที่มีคำพูดดีๆ ให้เราเสมอ

คนแบบใหนที่มีลักษณะเคมีไม่ตรงกัน

"เลือกคบคนผิดจะชวนให้มีแต่เรื่องน่าปวดหัวมาให้" สาว ว่าจริงไหมค่ะ เพราะฉะนั้น ก่อนที่ผู้หญิงอย่างเราจะต้องมานั่งเสียใจ บ่นรำพึงรำพันว่าไม่น่าตกลงปลงใจตอบรับคบเขาคนนี้เป็นแฟนจริง  ก็ลองมาดูว่าผู้ชายแบบไหนบ้างควรจะถอยให้ห่าง ไม่หลวมตัวคบไปให้เสียเวลาเด็ดขาด(www.wedding.kapook.com)

     
 1. คนที่ยังไม่รู้จะเอายังกับชีวิตตัวเองดี

         
คนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะยึดอาชีพอะไรดี ทั้งแผนการอนาคตยังเลือนลาง (อย่างน้อยแค่แผนระยะ 2-3 ปีข้างหน้านี้ก็ยังดี) คนที่ยังไม่พร้อมจะแน่วแน่ในชีวิตของตัวเองแบบนี้ ท่าทางก็คงยังไม่พร้อมจะให้ความสำคัญอย่างเต็มที่กับคุณด้วย ดีไม่ดีจะทำให้ตัวคุณเองพลอยไม่มีอนาคตไปด้วยนะ

       2.
คนที่คุณเคยเดทด้วยเมื่อนานมาแล้ว และติดต่อกลับมาอีกครั้งเพราะว่าเขาไม่มีใคร

          จะทำอย่างไรดีถ้าคนที่คุณเคยเดทด้วย (และพบว่าต่างคนต่างมีปัญหา เข้ากันไม่ได้ จนตัดสินใจเลิกราย้ายแยกกันไปแล้วเรียบร้อย) จู่ ก็กลับมาขอเดทคุณใหม่อีกครั้ง จะกลับไปคบกับเขาอีกดีหรือไม่ ขอตอบแบบใจดำเลยค่ะว่า "ไม่ดีแน่นอน" จริงอยู่ว่าเวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน บางทีเขาคงจะเปลี่ยนไปในทางทีดีขึ้นก็ได้ นั่นก็อาจจะจริงอยู่ แต่คงไม่มีทางเปลี่ยนไปดีขึ้นแบบน่าใจหายได้หรอก หากหลวมตัวคบไป สุดท้ายอาจจะได้เจอปัญหาเดิม กลับมาซ้ำเติมอีกครั้ง อย่างกับหนังม้วนเดิมมาฉายซ้ำยังไงยังงั้นเลยทีเดียวล่ะ

       3. คนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คุณไปทุกเรื่อง

          ผู้ชายที่ช่างวิพากษ์วิจารณ์ตัวคุณไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผม รสนิยมการกินอาหาร งานอดิเรก หนังสือที่อ่าน ฯลฯ แล้วก็ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดใจได้ทุกครั้ง จะทนคบให้หงุดหงิดใจไปทำไม คุณเหมาะสมที่จะได้เจอกับคนที่ยอมรับในตัวตนที่คุณเป็น ถ้าช่างวิจารณ์นู่นนี่ให้มากนัก ก็อย่าหลวมตัวไปรู้จักสนิทสนมนักเลยค่ะ

       4. คนที่หวังแต่เรื่องบนเตียง

          ผู้ชายแบบนี้ไม่ได้อยากมีแฟน แต่เขาแค่อยากครอบครองใครก็ได้ที่เป็นผู้หญิงต่างหาก คบกันไปจริง แล้วจะมีอะไรมารับประกันว่าคุณคือคนที่เขาจะจริงจังด้วยล่ะ !!

       5. คนที่เรียกร้องความสนใจจากคุณอยู่ตลอดเวลา

          โต เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็น่าจะเข้าใจกันบ้างว่าต่างคนต่างต้องการเวลา เพื่อจริงจังกับการทำงาน กับหน้าที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ และกับการให้เวลาเพื่อความเป็นส่วนตัวของตัวเองบ้าง ไม่ใช่รังแต่จะให้คุณรับโทรศัพท์คุยกับเขาได้ทุกครั้งที่โทรไป ออนไลน์แชทกับเขาได้ทั้งวันแม้จะเป็นชั่วโมงทำงาน หรือคนที่ต้องว่างเสมอหากเขาต้องการ แถมยังมาทำท่าทางผิดหวังใส่ ว่าสิ่งที่คุณทำให้ได้ช่างเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน แหม...เรียกร้องความสนใจมากขนาดนี้ก็ไม่ไหวนะ

       6. คนที่ไม่รู้จะถ่ายทอดอารมณ์ของตัวเองอย่างไร

          เราเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายบางคน (รวมทั้งผู้หญิงด้วย) ที่จะแสดงอารมณ์ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา รักก็บอกว่ารัก โกรธก็บอกว่าโกรธ ไม่พอใจก็ขอให้พูด ไม่ใช่มึนตึงพอถามว่าว่าเป็นอะไรก็บอก "ไม่เป็นไร" แล้วก็ไปกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว หากคุณคิดจะคบกับคนแบบนี้จริง คุณก็ต้องมีความพยายามและความอดทนมาก ที่จะสอนให้เขาเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์ และความต้องการของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาและเหมาะสม แต่ถ้าคุณรู้ตัวเองว่าไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากขนาดนั้นแล้วล่ะก็ หยุดตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่าค่ะ (ก็คุณไม่ใช่นักจิตวิทยาที่จะเดาอารณ์ของใคร เก่งนี่นา)

       7. คนที่ไม่กล้าแม้กระทั่งชวนคุณออกเดท

          จริงอยู่ว่าผู้ชายอาจกลัวคำปฏิเสธ แต่ถ้าตัดสินใจแล้วกลับไม่กล้าทำ ก็เท่ากับว่าไม่ได้ทำให้มีอะไรคืบหน้าขึ้นมาเลย นี่อาจไม่ได้เป็นกับเรื่องชวนคุณออกเดทอย่างเดียว แต่มันสื่อให้เห็นได้ด้วยว่าเขาไม่มีพยาพยายาม หรือความกล้าที่จะแก้ปัญหาอะไรเลย แบบนี้ก็คงไม่น่าสานสัมพันธ์ที่มั่นคงกันได้ยืดยาว

       8. คนที่โทรหาคุณเวลาเขาเหงาเท่านั้น

          คนที่จะเห็นคุณมีค่าขึ้นมาเมื่อเขาไม่มีใคร เป็นผู้ชายที่ไม่น่าคบหาด้วยเป็นอย่างยิ่ง ยามเหงาเขาอยู่กับคุณ แล้วยามปกติล่ะเขาจะเอาคุณไปไว้ตรงไหน ความเหงาไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองและความเหงาเสียบ้าง คุณเองก็ไม่อยากใช้คนอื่นเป็นเครื่องคลายเหงา แล้วจะยอมให้เขามาใช้คุณเป็นที่ระบายความเหงาทำไมกัน

       9. คนที่กำลังคบกันแต่จู่ ก็หายเงียบไปแบบไม่บอกกล่าว

          คงเป็นเรื่องไม่น่าปลื้มนักหากคนที่คุณเคยคบ อยู่ แล้วจู่ ก็เงียบหายไปไม่บอกกล่าว อย่างกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน แล้วพลันก็ปรากฎตัวมาใหม่และมาบอกคุณว่าขอโอกาสเขาอีกครั้ง คนแบบนี้คุณสมควรจะให้โอกาสเขาอีกครั้งหรือ? ไม่ว่าจู่ เขาจะหายตัวไปด้วยเหตุผลใด งานยุ่ง ป่วย ไปเคลียร์กับแฟนเก่า ฯลฯ ก็ไม่ควรจะทิ้งคุณไว้โดยไม่บอกเหตุผลใด แล้วการกลับมาครั้งนี้ก็รับประกันไม่ได้เสียด้วยว่าเขาจะไม่ทำตัวแบบเดิมอีก

       10. คนที่คุณไม่รู้สึกว่าเคมีตรงกันเลยสักนิดเดียว

          อารมณ์ที่ว่า "เคมีเข้ากัน" คือทั้งคุณและเขารู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างที่เข้ากันได้ดี ดึงดูดเข้าหากันได้ หากคุณคิดจะคบกับใครสักคน อย่างน้อยก็ต้องรู้สึกว่าตัวเขามีอะไรดึงดูดบ้าง แม้คะแนนเคมีจะได้แค่ 1/10 ก็ตาม เพราะมันก็ยังพอมีสิทธิ์ลุ้นได้ แต่หากคุณกำลังพยายามกับคนที่คุณรู้สึกว่าไม่โดนไม่ใช่ ไม่เข้ากันแม้แต่นิดเดียว (เคมี = 0/10) ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนดีก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ช่างน่าทรมานกับทั้งคุณและเขาเลยทีเดียวที่ต้องพยายามอย่าง มากที่จะปรับตัวเข้าหากันทั้ง ที่ไม่มีอะไรเข้ากันได้สักอย่าง เลือกคบคนที่ทำให้คุณเลือดสูบฉีดเพราะใจเต้นตึกตักที่ได้อยู่ใกล้ และปล่อยให้เขาคนนั้นตามหาสาวที่เคมีเข้ากับเขาได้ด้วยดีกว่า

       11. คนที่ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้

          ทุกคนย่อมมีอดีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขหรือทำให้กลับคืนมาได้ และแฟนเก่าเองก็นับว่าเป็นอดีตแบบหนึ่ง ที่เขาจะต้องเรียนรู้ที่จะรับมันให้ได้ อาจไม่ใช่การลืมแต่เรียนรู้ที่จะจดจำไม่ให้มันมีผลกระทบต่อคุณ ซึ่งเป็นคนปัจจุบันของเขา หากเขายังคงคร่ำครวญบ่นถึงแฟนเก่าให้คุณฟังอยู่ทุกวัน ท่าทางคงคบกันต่อไปได้ยากแล้วล่ะ

       12. คนที่พอใจแค่การคบกัน ไม่พัฒนาอะไรให้มากกว่านั้น

         
ผู้ชายบางคนคบหากับคู่เดทของตัวเองเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าไม่โสดและมีใคร สักคนก็แค่นั้น แต่ไม่เคยคิดจะพัฒนาความสัมพันธ์ หรือมีความจริงจังอะไรมากไปกว่าออกเดทกันเป็นครั้งคราวก็พอ แต่ถ้าคุณกำลังมองหาความจริงจังและคนที่ใช่ล่ะก็ ทันทีที่รู้ตัวว่ากำลังกลายเป็นหนึ่งในคนเขาแค่คบไปงั้น เท่านั้น ก็รีบตีตัวออกมาให้ห่างเชียว


          
รู้แบบนี้แล้ว สาว อย่าได้เลือกคบคนผิดให้ช้ำใจเชียว ความรักไม่ใช่เรื่องเล่น เลือกดี แล้วก็ระวังตัวระวังใจตัวเองกันด้วยนะจ๊ะ



       ไม่อยากให้วลีนี้เป็นคำโก้ๆ อยากให้เด็กๆ พูดแบบเข้าใจและรู้เท่าทัน เพราะถ้าไม่รู้เท่าทัน เคมีตรงกันอาจจะกลายเป็นเคมีอันตรายก็ได้ ผมอยากให้บทสัมภาษณ์นี้เป็นสื่อกลางทำความเข้าใจกับเยาวชน ให้เข้าใจว่า ที่เรามีอารมณ์ความรู้สึกระหว่างมีความรัก มันเป็นเรื่องของเคมีในร่างกาย เป็นเรื่องของฮอร์โมน ซึ่งหากวัยรุ่นเรียนรู้ เข้าใจ และรู้เท่าทันแล้ว ก็จะเกิดความระมัดระวัง และวางแผนการปฏิบัติตัวในความสัมพันธ์ได้ นพ.ทวีศิลป์ ทิ้งท้าย


3 ความคิดเห็น: